Customer Reviews

4
Hello Tohoku เฮลโหล โทโฮคุ โดย ปาลิดา พิมพะกร
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Hello Tohoku หนังสือที่พูดถึงการท่องเที่ยวโทโฮคุ หรือภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ใบไม้เปลี่ยนสี บ่อน้ำพุร้อน และเป็นที่รู้จักกันดีเพราะเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากสึนามิครั้งล่าสุด

หนังสือ Hello Tohoku มีรูปเล่มที่สวยงามน่าซื้อเก็บมากๆ เป็นหนังสือที่พิมพ์สี่สี (เป็นประโยชน์มากๆ สำหรับหนังสือที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งมีรูปประกอบเยอะ) ใช้กระดาษที่อ่านแล้วสบายตา หนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวโทโฮคุของผู้เขียน ซึ่งเคยใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมาแล้ว โดยเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ของภูมิภาคนี้ ทั้งมิยางิ อาโอโมริ อาคิตะ และยามากาตะ เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งที่เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวต่างชาติและไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก โดยผู้เขียนได้มี “ตัวเอก” ที่เป็นจุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้คือตุ๊กตาโคเคชิ ตุ๊กตาไม้ตัวโตๆ ตัวผอมๆ ที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นผ่านตามาบ้าง ทำให้จุดมุ่งหมายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้จะมีหลายที่ที่เกี่ยวข้องกับโคเคชิ ซึ่งค่อนข้างเยอะ (แต่สำหรับคนที่ไม่สนใจ ก็ยังมีอย่างอื่นแนะนำนะ มีทั้งแหล่งศิลปะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือธรรมชาติด้วย) ซึ่งทำให้น่าสนใจมากสำหรับคนที่สนใจจะเดินทางไปญี่ปุ่น และกำลังสนใจว่าโทโฮคุนี้มีอะไรให้ดู ให้เที่ยวบ้าง ในเล่มก็จะมีทิปเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ราคาค่าเข้าชม หรือรถบัสอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดถึงทุกที่ และไม่ได้พูดถึงอาหารการกินมากนัก หากเทียบสัดส่วนกับสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนของที่พักก็แทบไม่ได้พูดถึงเลย ดังนั้นแล้ว Hello Tohoku ทำได้ดีสำหรับการเป็นหนังสือเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยว สร้างแรงบันดาลใจให้อยากลองท่องเที่ยวที่โทโฮคุบ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นคู่มือท่องเที่ยวอะไรขนาดนั้น
5
The perks of being a wallflower
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

The perks of being a wallflower หรือ จดหมายรักจากนายไม้ประดับ ซึ่งถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย โลแกน เลอร์แมน เอซรา มิลเลอร์ และเอ็มมา วัตสัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของชาร์ลี เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะพ้นจากวัยเด็กมาสู่การเป็นวัยรุ่น เรื่องราวของเขาจะถ่ายทอดผ่านจดหมายที่ส่งให้กับเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งกระทั่งจบเรื่องเราก็ยังไม่รู้ได้ว่าเธอคือใคร แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เมื่อชาร์ลีเริ่มเขียนจดหมายโดยเล่าแทบจะทุกอย่างในชีวิตของตนเองลงบนจดหมายนั้น

ชาร์ลีก็เหมือนเด็กเนิร์ดธรรมดาๆ ที่ไม่มีใครสนใจ การอยู่ในครอบครัวที่มีพี่ชายเป็นนักอเมริกันฟุตบอลที่โด่งดังในระดับมัธยมยิ่งทำให้ตัวตนของชาร์ลีดูจืดจางและออกจะมีชีวิตไปวันๆ กระทั่งเขาได้พบกับเพื่อนใหม่อย่างแพททริคและแซม ซึ่งพวกเขาได้นำพาชาร์ลีจากเด็กให้กลายเป็นวัยรุ่นขึ้นมา ผ่านทางมิตรภาพ ความรัก หนังสือ ปาร์ตี้ เซ็กส์ เพลง และกระทั่งยาเสพติด ชาร์ลีได้ลองทำอะไรอีกมากมาย และนั่นทำให้เขามีตัวตนขึ้นมาในสังคมเล็กๆ รอบตัวของเขา ซึ่งมันสำคัญสำหรับใครสักคนมากกว่าที่คิด และยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้ชาร์ลีได้ค้นพบอะไรบางอย่างในชีวิตของเขาเองอีกด้วย

การเล่าเรื่องของหนังสือเล่มนี้ที่ผ่านโดยชาร์ลีทำได้ดี แม้จะผ่านการเขียนออกมาในรูปแบบของจดหมายอีกทีก็อ่านได้ไม่รู้สึกเคอะเขินหรือแปลกใจ แม้จะพูดถึงสิ่งที่น่าเศร้าหรือหดหุ่ใจก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างฟูมฟาย เป็นความเศร้าสลดที่มีสติและซึ่งส่วนที่เป็นความสุข ผู้เขียนก็เล่าถึงมันได้อย่างดี
3
มันมากับความเหมียว (วิชัย มาตกุล)
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 08 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มันมากับความเหมียว ผลงานเขียนอีกชิ้นหนึ่งของวิชัย มาตกุล นักเขียนหนุ่มที่มีผลงานยอดเยี่ยมน่าสนใจจาก Blog อย่างเรื่องสิ่งมีชีวิตในโรงแรม และภารกิจยุติฝัน (Dream Crusher) เขากลับมาอีกครั้งกับสำนักพิมพ์ a book สำนักพิมพ์แจ้งเกิดผลงานของเขา

เนื้อหาของ "มันมากับความเหมียว" เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องแมวที่บ้านของวิชัยเองทั้ง 3 ตัว ประกอบไปด้วยบุญเอิญ ลูกพี่ และพระเอก ซึ่งแต่ละตัวมีบุคลิกและที่มาต่างกัน และทั้ง 3 ตัวนี้ก็ได้ก่อวีรกรรมมากมายจนทำให้วิชัยนำมาเขียนหนังสือได้ และได้คนเขียนภาพประกอบเป็น Blogger ผู้โด่งดังจาก exteen.com เช่นเดียวกับวิชัย อย่าง ภูภู่ มาช่วยวาดภาพประกอบให้ ซึ่งก็ดูเข้าขากันดี
แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าผลงานเล่มนี้ของวิชัยค่อนข้างดรอปไปเมื่อเทียบกับผลงานชิ้นเก่า ซึ่งคงเรียกได้ว่าเป็น Masterpiece ของเขาก็ว่าได้ อย่างสิ่งมีชีวิตในโรงแรม โดยสิ่งมีชีวิตในโรงแรมได้นำเสนอเรื่องใกล้ตัวอย่างโรงแรมแต่เป็นเรื่องที่คนมักไม่ค่อยรู้ หากไม่ได้ทำงานในสายงานนี้ แต่ขณะที่เรื่องของแมว ค่อนข้างเป็นเรื่องที่คนรู้เป็นวงกว้างกว่าถึงพฤติกรรมพื้นฐานของแมว จึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรแปลกใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่ How to ว่าด้วยการเลี้ยงแมว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก และในส่วนของความสนุกสาน ตลกโปกฮา ก็อยู่ในระดับอ่านเพลินๆ เท่านั้น ไม่ถึงกับอยู่ในขั้นที่วางไม่ลงและน่าติดตามมากนัก แต่ภาพรวมแล้วยังจัดว่าสนุกและอยู่ในระดับที่ดี เรื่องแมวๆ ยังน่ารักสำหรับคนรักแมว และทำให้คนที่ไม่ได้เลี้ยงแมวอ่านได้เรื่อยๆ
5
ปู๊น ปู๊น...8 เส้นทางรถไฟสายสนุก
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 25 กันยายน พ.ศ. 2557

ปู๊น ปู๊น...8 เส้นทางรถไฟสายสนุก หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวด้วยรถไฟ ซึ่งแนะนำเส้นทางการเดินทางด้วยรถไฟ 8 สาย ซึ่งแบ่งออกมาได้ 3 ประเภทอย่างกว้างๆ คือ รถไฟสายประวัติศาสตร์ (กรุงเทพ-อยุธยา, กรุงเทพ-เด่นชัย, รถไฟสายน้ำตก หรือที่ไปกาญจนบุรี เส้นทางสายสงครามโลกครั้งที่2และน้ำตก ถ้ำต่างๆ) รถไฟสายโรแมนติก (กรุงเทพ-หัวหิน, กรุงเทพ-บ้านตาพลูหลวง หรือเส้นที่ไปเกาะสีชัง, กรุงเทพ-เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) รถไฟกับสายน้ำ (วงเวียนใหญ่-มหาชัย/บ้านแหลม-แม่กลอง, กรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา) ซึ่งเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางโดยรถไฟ และการเดินทางไปยังจุดหมายสไตล์วินเทจทั้งหลาย ได้อยู่ในหนังสือเล่มนี้

ภายในหนังสือเล่มนี้นอกจากจะเป็นข้อมูลการเล่าเรื่องการเดินทางไปยังรถไฟสายต่างๆ ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีภาพประกอบแบบสี่สีให้ได้ชมความสวยงามได้อย่างจุใจ ช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านอยากเดินทางบ้าง และในส่วนของข้อมูลประกอบ หนังสือเล่มนี้ก็ทำได้ดี โดยมีตารางการเดินรถไฟแบบไปกลับให้แก่ผู้อ่านนำไปใช้ประกอบด้วย (แต่ไม่รู้ว่าเอาเข้าจริง รถไฟจะเสียเวลากว่าจะเข้าชานชาลาหรือไม่) คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวอื่นๆ ทั้งกิน นอน และแลนด์มาร์กสำคัญๆ ต่างๆ ที่น่าแวะ รวมไปถึงแบคกราวด์ทางประวัติศาสตร์ของแต่ละสถานที่ที่หนังสือเล่มนี้หยิบขึ้นมาแนะนำก็อธิบายได้เข้าใจง่าย อีกทั้งยังมีการพูดถึงประวัติศาสตร์ของการรถไฟไทยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีไปถึงแนะนำหนังสือที่เหมาะสำหรับการเดินทางไปยังรถไฟสายต่างๆ แถมด้วยภาพยนตร์ที่น่าสนใจ มีโปสการ์ดแถมด้วย (แต่มันติดกับในเล่มเลย ไม่กล้าแกะออกมาใช้) และข้อดีอีกประการของหนังสือเล่มนี้คือการออกแบบรูปเล่มที่คุมโทนแบบวินเทจ เข้ากับเนื้อหามากๆ ซึ่งหนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยทำให้ผู้อ่านสนใจการเดินทางท่องเที่ยวผ่านรถไฟได้มากขึ้น ซึ่งจุดด้อยเพียงอย่างเดียวก็คือการรถไฟเองก็เท่านั้น
2
บุกคนสำคัญ หนังสือที่รวมข้อคิดและรายชื่อของบุคคลสร้างแรงบันดาลใจ โดย นิ้วกลม
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 25 กันยายน พ.ศ. 2557

บุกคนสำคัญ ผลงานประเภทความเรียงของนักเขียน Best Seller อย่างนิ้วกลม ที่นำเสนอออกมาในรูปแบบจดหมายที่ส่งถึงบุคคลสำคัญหรือคนดังที่สร้างแรงบันดาลใจในหลายๆ วงการ ไม่ว่าจะเป็นวงการการเมือง วงการบันเทิง วงการนักเขียน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดนตรี ศิลปะ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถช่วยเปิดโลกของผู้อ่านให้รู้จักคนเหล่านี้ได้มากขึ้น หรืออาจมองพวกเขาในมุมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

บุกคนสำคัญของนิ้วกลมที่เลือกมานั้นประกอบไปด้วยบุคคลหลากหลายวงการดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งนิ้วกลมได้อธิบายในเล่มว่าบุคคลเหล่านั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่จะสร้างแรงบันดาลใจ เพราะแต่ละคนนั้นล้วนแต่เป็นนักเดินทาง ทุกคนมีศรัทธากับบางสิ่งบางอย่าง ทุกคนเคยล้มเหลว และทุกคนมีความฝัน ซึ่งหลายๆ คนได้ทำในสิ่งที่คนอื่นๆ อยากทำ แต่อาจจะมีโอกาสหรือไม่มีโอกาส หรือมีโอกาสแต่ไม่ได้ทำด้วยกันทั้งสิ้น โดยหนังสือเล่มนี้ แก่นแกนของมันค่อนข้างโอเค แต่เนื้อหาและวิธีการบรรยายของนิ้วกลมไม่ได้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ารู้เรื่องและเข้าใจชีวิตของบุคคลแต่ละคนมากนัก การเขียนของเขาเหมือนกำลังกั๊กๆ ข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่มากกว่า ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำเพื่อให้คนอ่านไปค้นหาข้อมูลต่อหรืออย่างไร (แต่สำหรับผู้รีวิวแล้วก็ไม่ค่อยจะได้ผลหรอก) และภาพรวมของสไตล์การเขียนนั้นไม่ได้ช่วยให้รู้สึกรู้จักบุคคลเหล่านั้นมากนัก แต่เหมือนจะรู้จักนิ้วกลมมากกว่า เพราะถึงจะเป็นการเขียนจดหมายถึงบุคคลต่างๆ แต่กลับรู้สึกว่าผู้เขียนกำลังบรรยายเรื่องของตัวเองอยู่ ว่าตนเองเป็นอย่างไร คิดอย่างไร มีความเห็นกับเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไร จนแทบจะกลบข้อมูลของบุคคลต่างๆ ที่เลือกมาไปเสียหมด ซึ่งส่วนนั้นควรจะเป็นแกนหลักของเล่ม อาจเพราะจดหมายที่ว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว และในส่วนของการใช้ภาษาก็ยังอยู่ในระดับธรรมดา ไม่ได้ชวนดึงดูดอะไรนัก
3
Naked โดย น้าเน็ก เกตุเสพสวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 18 กันยายน พ.ศ. 2557

Naked โดย น้าเน็ก เกตุเสพสวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา และนี่เป็นพ็อกเกตบุคเล่มแรกของเขา ซึ่งแต่ละตอนนั้นเคยถูกตีพิมพ์แบบเป็นตอนๆ มาแล้วในนิตยสาร HAMBURGER นิตยสารบันเทิงแนวที่ไม่เน้นเรื่องข่าวคาวดารา ในเครือเดียวกับ a day โดยที่ Naked เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับวงการบันเทิงในแบบจิกกัด เอาฮา แต่ประกอบไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับวงการบันเทิงที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ (อย่างน้อยๆ ก็เช่นพวกทีมงานเบื้องหลัง) หรือรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำให้เราได้อ่านเพลินๆ

หนังสือเล่มนี้จะว่าด้วยเรื่องผู้คนแบบต่างๆ ในวงการบันเทิงและการปฏิบัติตัวแบบต่างๆในวงการบันเทิง เช่น งานพิธีกร การเป็นคนดังด้วยข่าวฉาว การปรากฏตัวในที่สาธารณะ การแจกลายเซ็น การมีความรัก หรือจะเรื่องของการทำงานเบื้องหลัง ซึ่งส่วนนี้ก็จะมีการอธิบายตำแหน่งและหน้าที่ต่างๆ ของเหล่าคนเบื้องหลังรวมไปถึงปัญหาที่แต่ละกองถ่ายจะพบเจอ หรือจะเป็นเรื่องของคอนเสิร์ตไทยสไตล์ต่างๆ รูปแบบสูตรสำเร็จละครไทย สไตล์ของหนังไทยสไตล์หนังร้อยล้านอย่างหนังผี หนังรัก หนังบู๊ซึ่งตัวของน้าเน็กเองอยู่ในวงการมานานหากจะนับกันตั้งแต่สมัยทำงานเบื้องหลัง ดังนั้นประสบการณ์เหล่านี้ก็ดูเป็นวัตถุดิบของงานเขียนได้ดี มีการอธิบายหรือยกตัวอย่างให้คนอ่านเห็นภาพชัดเจน บวกกับเป็นคนที่จัดว่าเป็นตลกสไตล์จิกกัด ดังนั้นรูปแบบของการเขียนก็จะออกมาเป็นแบบนั้น ซึ่งอ่านแล้วก็แสบๆ คันๆ ไปกับสำนวนที่ค่อนข้างใช้ได้ ส่วนความตลกนั้นก็ตลกบ้างไม่ตลกบ้าง หลายๆ มุกจะใช้วิธีใส่ๆ คำประหลาดเข้ามาแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งบางทีก็ไม่ค่อยตลกนัก แต่ก็ไม่ได้แป้กแย่อะไรมากนัก
3
ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ - ตุล ไวฑูรเกียรติ
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 18 กันยายน พ.ศ. 2557

ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ หนังสือรวมบทกวีโดยตุล ไวฑูรเกียรติ นักร้องนำวงอินดี้ชื่อแปลกอย่างอพาร์ตเมนต์คุณป้า ซึ่งเป็นผู้แต่งเพลงไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอที่ถูกนำไปร้องโดยป็อป แคลอรี่บลาบลา กับดา เอ็นโดรฟินจนโด่งดัง ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ใช้ชื่อเดียวกัน ซึ่งจะคุมโทนบทกวีให้เป็นบทกวีที่เกี่ยวกับความรักเท่านั้น

ภาพรวมของหนังสือให้ความรู้สึกเหมือนการแอบอ่านไดอารี่ของคนอื่นอย่างจงใจ เนื้อหาของแต่ละบทกวีนั้นจะอ่านไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เพราะค่อนข้างที่จะพูดถึงเรื่องส่วนตัวที่ส่วนตัวมากๆ มากจนเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตในด้านความรักของเขาบ้างอย่างละเอียด (แต่หลายๆ จุดที่อ่านแล้วก็พอเดาได้บ้าง) และในแต่ละบทกวีก็เหมือนถูกบันทึกเอาไว้แบบไม่ต่อเนื่อง หรือถ้าจะเสพความงดงามของภาษาก็อาจจะได้รูปแบบภาษาที่แปลกๆ มาแทน แต่ก็น่าแปลกที่อ่านแล้วผู้รีวิวรู้สึกชอบ เหมือนได้เปิดไอเดียใหม่ๆ ที่หาไม่ได้ในหนังสือเล่มอื่นๆ ส่วนของฉันทลักษณ์แล้วก็แทบจะไม่ตรงตามหลักเลยสักบท แต่พอมีจุดที่คล้องจองบ้าง เล่นคำบ้าง ซึ่งไม่อาจนับเป็นกลอนจริงๆ จังๆ ได้ แถมด้วยรูปประกอบซึ่งตุลเป็นคนวาดเอง และคงวาดจากสมุดที่เป็นต้นแบบของหนังสือไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอเล่มจริง ซึ่งจะเป็นลายเส้นประหลาดๆ เอาสวยงามไม่ได้ บางรูปดูไม่รู้เรื่อง บางรูปดูรู้เรื่องแต่ก็ไม่ค่อยน่าเอาออกมาอ่านให้คนอื่นเห็นในที่สาธารณะเท่าไหร่ ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอ่านไดอารี่ของคนอื่นอยู่จริงๆ
3
พาไรโดเลีย รำลึก โดย ปราบดา หยุ่น
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 06 กันยายน พ.ศ. 2557

พาไรโดเลีย รำลึก นิยายเรื่องสั้นขนาดยาว ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของนักเขียนรางวัลซีไรต์ ปราบดา หยุ่น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าผ่านมุมมองของเด็กสาวชาวไทยที่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อของเธอในประเทศญี่ปุ่น โดยที่เธอกำลังศึกษาเรื่องวรรณกรรมญี่ปุ่น และพบกับเด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันที่ดูจะสนอกสนใจเธอเป็นพิเศษ และเขาได้ทำให้เธอรู้จักกับ “พาไรโดเลีย” ที่เป็นปรากฏการณ์ทางจิตอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับการรับรู้ข้อมูล เช่น ภาพอะไรก็ตามแต่ มีความหมายขึ้นมา เช่น ในเรื่องนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับก้อนเมฆ ซึ่งวิคเตอร์ เด็กลูกครึ่งจะมองเห็นเมฆเป็นภาพต่างๆ มากมาย และเขาก็จะวาดมันขึ้นมา ทำให้เด็กสาวเริ่มมองท้องฟ้าและเห็นก้อนเมฆเป็นรูปเป็นร่างต่างๆ ด้วยอย่างหมกมุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ

ปราบดายังคงเอกลักษณ์การบรรยายที่เรียบง่ายแต่สละสลวยได้เป็นอย่างดี การเล่าถึงปูมหลัง อธิบายถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครก็เป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีสะดุด จุดแข็งคือการบรรยายความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ นั้นทำได้ดีมาก ส่วนที่เศร้าหรือน่าตื่นเต้นก็เป็นแบบเรียบๆ ไม่ฟูมฟายเลย แต่ก็พอจะทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึก down ไปกับตัวละครได้บ้างเพราะการวางโครงเรื่องและปูสถานการณ์เอาไว้ โดยในจุดนี้เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย คืออ่านเพลินๆ ได้ แต่เพราะเรียบง่ายมากก็เป็นส่วนที่ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกอยากติดตามอะไรขนาดนั้น และในเล่มนี้ ผู้รีวิวจะมีความรู้สึกว่างานชิ้นนี้ของปราบดามีกลิ่นอายแบบนิยายญี่ปุ่นมากขึ้นกว่าชิ้นก่อนๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะโทนของเรื่องเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ แต่ชวนให้รู้สึกอย่างนั้น
ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เล่ม 02 (เฉียนเยี่ยนชิว)
4
ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เล่ม 2
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 04 กันยายน พ.ศ. 2557

เรื่องราวของตี่เหรินเจี๋ย ขุนนางตงฉินแห่งราชสำนักในสมัยพระนางบู๊เช็กเทียนที่เกี่ยวพันกับการสืบคดีที่น่าสนใจได้ดำเนินมาที่เล่มที่ 2 แล้ว ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เล่มที่ 2 ตอนปราบกบฏเสอหลิง โดยในเล่มนี้จะมีความเกี่ยวพันกับเล่ม 1 คือตอน คดีสังหารคณะทูตทูเจี๋ย เล่มนี้จะมีการเปิดเผยตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งในเล่มนี้ จะมีการแบ่งตอนออกมาเป็น 2 ตอน คือ เงาปริศนาที่ชายแดน และ เสอหลิง โดยในเล่มนี้ยังคงรักษามาตรฐานความสนุก การชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมเฉือนคมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่มีแผ่วไปจากเล่มแรกเลยแม้แต่น้อยและยังสนุกยิ่งขึ้นอีก และในตอนนี้ยังมีตัวละครใหม่เข้ามามีบทบาทอีกด้วย คือ หรูเยี่ยน หลานสาวของตี๋เหรินเจี๋ยที่เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบคดี

จุดแข็งของตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เล่มที่ 2 ตอนปราบกบฏเสอหลิงตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เล่มที่ 2 ตอนปราบกบฏเสอหลิงคือการมีโครงเรื่องที่แข็งแรง มีการศึกษาประวัติศาสตร์ที่สำคัญของช่วงเวลาในเรื่องอย่างจริงจัง ซึ่งในเล่มนี้พลอตหลักของเรื่องคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับชนเผ่านอกกำแพงเมืองอย่างทูเจี๋ยและชี่ตาน และขบวนการใหญ่ของพวกเสอหลิง หรืองูปิศาจ ที่ตั้งตนเป็นกบฏต่อราชบัลลังก์ของพระนางหวู่เจ๋อเทียนหรือบู๊เช็กเทียน ซึ่งทั้งสองตอนนั้นล้วนแต่มีการชิงไหวชิงพริบกันมากมายระหว่างกลุ่มของตี๋เหรินเจี๋ยและกลุ่มของคนร้าย มีการพลิกล็อกจนทำให้เนื้อเรื่องคาดเดาได้ยาก แต่ข้อเสียคือในช่วงท้ายๆ เล่ม จะอัดเนื้อหาและการเฉลยมากไปสักหน่อย
มหาศึกชิงบัลลังก์ A Game of Thrones เล่ม 1.1 เกมล่าบัลลังก์ (จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน)
5
เกมล่าบัลลังก์ (Game of Thrones) ล. 1.1
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 02 กันยายน พ.ศ. 2557

เกมล่าบัลลังก์ ปฐมบทแห่งนิยายชุด “มหาศึกชิงบัลลังก์” หรือ A SONG OF ICE AND FIRE นิยายชุดที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั่วโลก และได้นำมาทำเป็นซีรี่ส์ฟอร์มยักษ์เรื่อง GAME OF THRONES ซึ่งฉายยังช่อง HBO โดยได้เข้าชิงและชนะรางวัลสาขาต่างๆ ใน Emmys Award แทบทุกปีที่ออกฉายอีกด้วย เท่านี้ก็ค่อนข้างสามารถการันตีความสนุกสนานเข้มข้นของนิยายชุดเรื่องนี้ได้

เกมล่าบัลลังก์ 1.1 ซึ่งเป็น A GAME OF THRONES ภาคแปลไทยที่ถูกแยกออกมาเป็น 2 เล่ม เนื่องจากมีเนื้อหาที่หนาปึ้กจนต้องแยกเล่มออกมาในฉบับภาษาไทยนี้ ค่อนข้างจะต่อให้ติดยากสักนิด หากไม่ได้ดูซีรี่ส์มาก่อน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นนิยายที่เขียนขึ้นโดยสร้างอาณาจักรขึ้นใหม่ (มีอาณาจักรถึง 7 อาณาจักร + ทวีปอื่นนอกจากทวีปของ 7 อาณาจักรนั่นอีก) สร้างรูปแบบวัฒนธรรมต่างๆ ขึ้นมาใหม่ นับเป็นนิยายที่สเกลใหญ่เทียบเท่ากับซีรี่ส์ Lord of the rings หรืออาจจะใหญ่กว่าเสียอีก แต่เนื้อหาของเล่มนี้ก็ไม่ได้ทอดทิ้งคนอ่าน เพราะการบรรยายที่น่าสนใจ น่าติดตาม โดยแต่ละตอนจะถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองและความคิดของตัวละครหลักต่างๆ กันไป ทำให้คล้อยตามตัวละครแต่ละตัวได้อย่างไม่ยากนัก มีการใช้ภาษาที่สวยงาม (ในส่วนนี้ต้องชื่นชมทั้งผู้แต่ง GRRM และผู้แปลด้วย) การเล่าเรื่องก็สร้างปมต่างๆ ให้ผู้อ่านอยากรู้อยากเห็น (ซึ่งส่วนนี้คือการสร้างปมและอาจจะถูกขยายในเล่มต่อๆ ไป) แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเยอะมากเกินไปจนชวนงง เนื้อหามีการหักเหลี่ยมเฉือนคมได้สนุกมากๆ คาดเดาได้ยาก เนื่องจากตัวละครแต่ละตัวจะถูกสร้างออกไม่ให้ดีหรือเลวจนเกินไปนัก และแต่ละตัวละครก็มีเหตุผล มีแรงจูงใจขับเคลื่อนที่ต่างกันไป ยิ่งทำให้น่าติดตามอ่านเล่มต่อๆ ไปมากขึ้น แม้จะเป็นแฟนซีรี่ส์ที่รับรู้เรื่องราวแล้ว ก็ยังสนุกกับการอ่านที่เหมือนขยายความ ความรู้สึกนึกคิดและสภาพจิตใจของตัวละครได้ลึกกว่าดูซีรี่ส์
New York 1st Time นิวยอร์กตอนแรกๆ
4
New York 1st Time นิวยอร์กตอนแรกๆ
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 02 กันยายน พ.ศ. 2557

New York 1st Time หรือนิวยอร์กตอนแรกๆ โดยธนชาติ ศิริภัทราชัย เป็นหนังสือว่าด้วยประสบการณ์ต่างๆ ของผู้เขียนที่เกิดขึ้นในระหว่างอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เจาะจงเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับนิวยอร์กไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือที่มาแรงมากๆ ในงานหนังสือช่วงฤดูร้อนปี 2014 ที่ติดอันดับหนังสือขายดีในงานนั้นไปเลยทีเดียว โดยเริ่มสร้างกระแสไวรัลในโลกโซเชียลด้วยคลิป BKK 1st ของลุงเนลสัน (ที่พีคมากๆ ด้วยการเอาฝรั่งชาวอเมริกันแท้ๆ มานั่งไล่เรียงคำด่าสไตล์ไทยๆ จนทำให้ลุงเนลสันกลายเป็น meme สุดฮิตในโลกโซเชียลของไทยกันเลยทีเดียว แต่ก็รู้สึกว่าจะดังจริงๆ จังๆ อยู่แค่คลิปนี้คลิปเดียว ภาคต่อก็เริ่มจะเงียบแล้ว) ซึ่งคลิปไวรัลที่จะนำมาใช้เพื่อโฆษณาหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างได้ผลอย่างมาก

ในช่วงแรกๆ ผู้รีวิวเองก็ไม่กล้าคาดหวังอะไรมากนัก เพราะรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างเป็นคนที่เส้นลึกพอสมควร แต่เมื่ออ่านไปในช่วงแรกๆ ก็ขำออกมาได้เป็นระยะๆ แบบออกเสียง (ซึ่งค่อนข้างกังวลมาก เพราะตอนที่อ่านเล่มนี้ก็ดึกมากแล้ว และที่บ้านผนังค่อนข้างบางมาก หัวเราะดังๆ ข้างบ้านอาจจะตื่นมาด่าเอาได้) บรรยากาศของหนังสือโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกเหมือนฟังเพื่อนสนิทในกลุ่มมาเล่าเรื่องให้ฟัง ซึ่งมันจะมีจังหวะจะโคนแบบนั้นจริงๆ คือมีการเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ มีการแวะชงมุก ตบมุก ขยี้มุกเองอะไรเองแบบที่เตลิดไปเรื่อยและตัดมุกเอง ค่อนข้างจะได้อารมณ์เพื่อนฝูงมากๆ และนั่นคือจุดดีจุดหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ มันสามารถดึงให้คนอ่านเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่คนเขียนเล่าออกมาได้ไม่ยาก ทั้งที่ผู้รีวิวเองยังไม่เคยไปนิวยอร์ก ไม่เคยใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานานๆ และเนื้อหาประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้นำมาเล่านั้นก็ล้วนแต่เสื่อมป่วยเสียเป็นส่วนมาก ถึงบางตอนที่จะไม่เสื่อมป่วยมากนักก็ยังอ่านได้เพลินๆ อยู่เหมือนกัน แต่ข้อเสียในเรื่องของเนื้อหาก็คือมุกจะค่อนข้างมีซ้ำๆ กันในเล่มเยอะไปสักหน่อย ช่วงแรกๆ ที่อ่านก็สนุกสนาน แต่พออ่านต่อไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกทันมุกจนไม่ค่อยขำมากเท่าตอนที่อ่านเจอช่วงแรกๆ มุกขาดความสดใหม่ไปนิด แต่ในภาพรวมแล้วเนื้อหายังคงสนุกและขำอยู่ดี และข้อดีอีกอย่างของหนังสือเล่มนี้ก็คือมีภาพประกอบที่สวยมาก เป็นภาพถ่ายที่สวยและจัดพิมพ์ออกมาในแบบ 4 สี ซึ่งภาพถ่ายในเล่มก็เป็นผลงานของธนชาติ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ซึ่งปัจจุบันทำงานเป็นช่างภาพอยู่ที่สหรัฐอเมริกานั่นแหละ โดยภาพถ่ายเหล่านี้ทำหน้าที่ช่วยทำให้สิ่งที่เล่าอยู่ในเล่มนั้นเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียของหนังสือเล่มนี้ก็คือตัวอักษรที่ดูเล็กเกินไปสักหน่อย แต่ยังอยู่ในระดับที่อ่านได้ง่าย
4
เก่งอังกฤษกับ Grammar พาเพลิน + แบบฝึกหัด
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เก่งอังกฤษกับ Grammar พาเพลิน + แบบฝึกหัด โดย อ. เอกชัย เกรียงโกมล เป็นหนังสือสอนภาษาอังกฤษ ว่าด้วยเรื่องของไวยากรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วไปนั้นไม่ค่อยถนัด ไม่ค่อยเข้าใจ ดูเป็นส่วนที่ยากที่สุดในภาษาอังกฤษแต่ก็เป็นส่วนที่สำคัญอย่างมาก และส่วนของไวยากรณ์นี้เองที่ทำให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นวิชาที่ยากวิชาหนึ่งเนื่องจากคนทั่วไปขาดความเข้าใจในเรื่องไวยากรณ์และวิธีการใช้งาน ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะทำหน้าที่เสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องไวยากรณ์หรือ Grammar แบบเบื้องต้นให้สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องไวยากรณ์ได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้วิธีการอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ โดยเริ่มตั้งแต่เรื่องการจัดประเภทพยัญชนะภาษาอังกฤษ วิธีการใช้งานในแบบต่างๆ โดยละเอียดพร้อมยกตัวอย่าง วิธีผสมตัวอักษรและการออกเสียงให้ถูกต้อง (ซึ่งหนังสือที่เกี่ยวกับไวยากรณ์มักข้ามในส่วนนี้ไป กระทั่งในบทเรียนก็ไม่ค่อยจะอธิบายส่วนนี้สักเท่าไหร่ ทำให้หลายๆ คน ยังอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษกันอย่างผิดๆ) ส่วนประกอบของคำพูด ประโยค ประเภทของคำ เช่น คำนาม คำนำหน้าคำนาม คำสรรพนาม ลำดับที่ คำคุณศัพท์ คำกริยา Tense ต่างๆ ซึ่งข้อดีของหนังสือเล่มนี้นอกจากจะใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ยังมีตัวอักษรที่ใหญ่กำลังพอดี อ่านสบายตา ใช้กระดาษเนื้อดี มีสีสันนอกจากสีขาวดำ มีรูปประกอบสอดแทรกบ้างเล็กน้อยไม่น่าเบื่อและไม่รกตาจนกินพื้นที่เนื้อหามากเกินไป ส่วนของเนื้อหาก็ทำออกมาอย่างดี มีการยกตัวอย่างที่ชัดเจน มี Mind map ช่วยอธิบายเนื้อหาในแต่ละบทให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น และยังมีทริคช่วยจำและตารางสรุปความรู้ในแต่ละบทด้วย มีแบบฝึกหัดอยู่ท้ายบทของทุกบท เป็นโจทย์ง่ายๆ ในแต่ละบทก็มีโจทย์ในรูปแบบที่หลากหลาย (ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือก a b c d แต่เพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น) ซึ่งช่วยให้การทำแบบฝึกหัดเป็นเรื่องง่าย และไม่รู้สึกเสียกำลังใจสักเท่าไหร่นักด้วย สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษและทำความเข้าใจอย่างจริงจัง แต่ข้อเสียก็อาจจะอยู่ที่โจทย์ซึ่งยังไม่ซับซ้อนเท่าใดนัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนและทำความเข้าใจเบื้องต้น ยังไม่เห็นผลมากนักสำหรับการนำไปทำข้อสอบในระดับมัธยมขึ้นไป ซึ่งโจทย์เหล่านั้นค่อนข้างจะมีความสลับซับซ้อนมากกว่า นอกจากนี้ ส่วนของแบบฝึกหัดท้ายบทก็จะจำกัดอยู่แค่แบบฝึกหัดของบทนั้นๆ ไม่ได้มีการผสมผสานโจทย์ด้วยข้อมูลความรู้จากบทอื่นๆ เข้ามาด้วยเท่าไหร่นัก (ซึ่งส่วนใหญ่ข้อสอบหรือกระทั่งการนำมาใช้อ่านอะไรสักอย่างในชีวิตจริงๆ ก็จะมีการผสมรูปแบบของไวยากรณ์แต่ละประเภทลงในประโยคเดียวมากมาย) และเนื้อหาของไวยากรณ์ก็ยังมีมากกว่าที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ (เข้าใจว่าจะไปอยู่ในเล่ม 2 ของหนังสือชื่อเดียวกันนี้) แต่อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ก็ทำให้การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากจะอ่านเพื่อทำความเข้าใจ และเพื่อต่อยอดการเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปอีก
นิสัยแบบนี้ เลือดกรุ๊ป B แน่ๆ
3
นิสัยแบบนี้ เลือดกรุ๊ป B แน่ๆ
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นิสัยแบบนี้ เลือดกรุ๊ป B แน่ๆ หนังสือแนวจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง (ปกด้านหลังว่าไว้อย่างนั้น) ผสมกับแนว How-to (ตามที่ปกหน้าบอกไว้) โดยเป็นหนังสือกล่าวถึงคนที่มีเลือดกรุ๊ป B โดยเนื้อหาข้างในนั้นจะพูดถึงลักษณะนิสัยของคนทั่วไป ซึ่งอาจจะเป็นส่วนใหญ่ของคนเลือดกรุ๊ป B โดยลิสต์มาเป็นข้อๆ ให้ทำเครื่องหมายว่าใช่หรือไม่ใช่ ซึ่งเป็นเหมือนการจำลองสถานการณ์ต่างๆ ให้ชาวกรุ๊ป B เลือกตอบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสถานการณ์ทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกนึกคิด หรือการตัดสินใจต่อเหตุการณ์นั้นๆ โดยจะกล่าวถึงสถานการณ์รอบๆ ตัวแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุปนิสัยส่วนตัว เพื่อนฝูง ความสัมพันธ์กับคนรอบๆ ตัว ความรัก การเรียน การแก้ปัญหา งานอดิเรก ความสามารถพิเศษ หรือจะเหตุการณ์สมมติให้ตัวเองนั้นเป็นตัวละครอยู่ในเทพนิยาย

ภาพรวมของหนังสือเล่มนี้จะออกไปทางหนังสืออ่านเล่น ให้ความเพลิดเพลิน บันเทิงกันล้วนๆ โดยผู้อ่านจะได้ทำหน้าที่ตรวจสอบตัวเองว่าจริงๆ แล้วเป็นคนอย่างไร คิดอย่างไร มีนิสัยอย่างไร ซึ่งก็นับว่าเป็นการสำรวจตัวเองอย่างหนึ่งได้ ซึ่งอาจจะนำมาสำรวจตัวเองหรือจะนำไปพูดคุยกันในหมู่เพื่อนก็เป็นเรื่องที่สนุกดี และอาจเป็นเครื่องมือช่วยให้รู้จักนิสัยหรือความรู้สึกนึกคิดของกันและกันแบบย่นย่อ โดยไม่ต้องอธิบายด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีทำเครื่องหมายในช่องที่เป็นพฤติกรรมของแต่ละคนแล้วมาแลกกันอ่านก็ได้ โดยค่อนข้างจะสอดคล้องกันกับบทแรกของหนังสือเล่มนี้ ในหัวข้อ “วิธีใช้หนังสือเล่มนี้” ที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้คือคู่มือประจำตัวของคนเลือดกรุ๊ป B ที่อยากจะอธิบายตัวเองให้กับคนอื่นๆ ได้เข้าใจอย่างง่ายๆ หรือกระทั่งคนกรุ๊ปเลือดอื่นๆ ที่สนใจ อยากเข้าใจความรู้สึกและความคิดของคนเลือดกรุ๊ป B ในหนังสือก็จะมีภาพประกอบเล็กๆ น้อยๆ ลายเส้นง่ายๆ อยู่ในเล่มบ้าง ซึ่งก็ตลกและดูเหมือนจะช่วยตบมุกพฤติกรรมบางข้อที่ปรากฏในหนังสือนั้นได้ด้วย แต่หากจะเอาเนื้อหาสาระอะไรจริงจังล่ะก็ หนังสือเล่มนี้ก็คงทำหน้าที่ไม่ได้ถึงขนาดนั้น เพราะความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลอย่างมาก ไม่อาจตัดสินได้แค่เพียงกรุ๊ปเลือด (ซึ่งผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้รองรับเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริงแล้วก็มีคนที่เชื่อกับเรื่องกรุ๊ปเลือดกับนิสัยกันเป็นจริงเป็นจังมาก เช่นในญี่ปุ่น ประเทศของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ที่บางคนที่เชื่อจริงจังก็มีแนวทางการเลือกคบ-ไม่คบเพื่อนจากกรุ๊ปเลือดกันเลยทีเดียว) แต่เรื่องของนิสัยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ประสบการณ์และอื่นๆ ของแต่ละคนมากกว่า และหากมองกันอย่างจริงจังล่ะก็ มันเป็นหนังสือที่ค่อนข้างสะท้อนแนวคิดแบบเหมารวม (Stereotype) ซึ่งเป็นทัศนคติของคนทั่วไปในสังคมที่มีต่อคนกลุ่มอื่นๆ โดยสรุปเอาเองจากความเชื่อที่ฝังหัวกันอย่างผิดๆ โดยลุกลามไปเป็นการมองผู้อื่นอย่างดูถูกดูแคลนไปได้ ดังนั้น คงจะดีหากผู้อ่านเลือกหนังสือเล่มนี้ไปเพื่อใช้ทำความเข้าใจตนเองหรือผู้อื่นให้มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อการตัดสินกันโดยใช้มุมมองแบบเหมารวม
JAPANIZATION
4
JAPANIZATION
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ชาวไทยรู้จัก ทั้งจากหนังสือการ์ตูนหรืออนิเมะ เพลง ศิลปินดารา รายการโทรทัศน์และสื่อต่างๆ ของไทย หรือกระทั่งธุรกิจ Adult Video หรือหนังโป๊ของญี่ปุ่นที่ชายไทยจำนวนมากให้ความนิยม แต่ชาวไทยจำนวนมากยังเข้าใจประเทศญี่ปุ่นในมิติที่สลับซับซ้อน มีรูปแบบและลักษณะที่เฉพาะตัวเช่นนั้นอยู่น้อย อาจจะเนื่องจากสิ่งที่จะแสดงให้เห็นถึงประเทศญี่ปุ่นในรูปแบบนั้นค่อนข้างเข้าถึงยากและไม่แพร่หลาย อีกทั้งยังอ่านยาก ทำให้ความเข้าใจในด้านนี้ของชาวไทยตกๆ หล่นๆ ไป ดังนั้น หนังสือ Japanization ก็อาจจะเหมาะกับผู้อ่านที่สนใจเรื่องราวของญี่ปุ่นในด้านของมิติสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเศรษฐกิจ ซึ่งได้ความรู้ความเข้าใจไปโดยละเอียดอย่างแน่นอน

Japanization หรือแปลออกมาอย่างง่ายๆ ได้ว่า “กระบวนการทำให้เป็นญี่ปุ่น” โดยอาจารย์อรรถจักร สัตยานุรักษ์ ซึ่งค่อนข้างจะเน้นไปในเรื่องของญี่ปุ่นในด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในช่วงยุคสมัยใหม่ (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) จนถึงปลายยุค 90 ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังพลิกฟื้นตนเองจากการเป็นผู้แพ้สงครามให้กลายมาเป็นเจ้าเศรษฐกิจที่ส่งออกวัฒนธรรมของตนเองไปทั่วโลก ในรูปแบบของการ์ตูน เพลง ละคร ภาพยนตร์ รวมไปถึงสินค้าต่างๆ มากมายที่ติดตลาดจนปัจจุบัน โดยหนังสือเล่มนี้จะพูดถึงตั้งแต่มรดกทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนทำให้ญี่ปุ่นเป็นเช่นปัจจุบันนี้ และได้พูดถึงปัจจัยต่างๆ ที่ญี่ปุ่นมีและทำให้ประเทศพัฒนามาจนถึงจุดที่ทั่วโลกต้องยอมรับ เงื่อนไขต่างๆ ที่บริบทของโลกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโจทย์ให้แต่ละประเทศต้องพัฒนาตนเอง และรูปแบบการพัฒนาที่มีลำดับมีขั้นตอน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ระบบการเมือง และศาสนา และหนังสือเล่มนี้ก็ยังได้พูดถึงมุมมืดของสังคมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมประเพณีที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ และปัญหาที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียดจากการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น บทบาทผู้หญิงในสังคมญี่ปุ่น, ภาพยนตร์โป๊และยากูซ่า เป็นต้น โดยประเด็นต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ มีเนื้อหามาก ก็ได้ถูกนำมาอธิบายอย่างกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ มีประเด็นที่ครอบคลุมและชัดเจน ตรงประเด็น ไม่มีส่วนที่กล่าวถึงแบบวกไปวนมา แต่อาจจะน่าเบื่อไปบ้างเมื่อผู้เขียนได้อธิบายในรูปแบบของงานเขียนทางวิชาการที่อาจจะขาดสีสันและอารมณ์ในวิธีการบรรยายอยู่บ้าง และศัพท์บางอย่างที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้ก็มักจะเป็นศัพท์เฉพาะที่ปรากฏในวงการสังคมศาสตร์ ซึ่งแม้จะมีการอธิบายอยู่บ้าง ก็อาจจะไม่เข้าใจได้โดยทันที แต่ถึงกระนั้น Japanization ก็ถือว่าเป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องวิชาการหนักๆ อย่างเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมที่อ่านได้ไม่ยากนัก และในส่วนอ้างอิงของหนังสือเล่มนี้ก็สามารถต่อยอดความรู้ในเชิงวิชาการต่อไปได้อีกสำหรับผู้ที่สนใจ
ความลับของสมอง เรียนอย่างไรให้สมองมีความสุข
5
ความลับของสมอง เรียนอย่างไรให้สมองมีความสุข
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนังสือความลับของสมอง เรียนอย่างไรให้มีความสุข เป็นหนังสือที่เขียนโดย อาจารย์เคนอิจิโร่ โมงิ นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของญี่ปุ่น และแปลเป็นไทยโดย ดร.บัณฑิต โรจน์อารยานนท์ ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงกลไกของการทำงานของสมองและคุณสมบัติของสมองให้เข้าใจอย่างง่ายๆ และนำไปเชื่อมโยงกับวิธีทางการเรียนเพื่อให้การเรียนได้สนุกสนานและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

ความลับของสมอง เรียนอย่างไรให้มีความสุขเป็นหนังสือที่ถูกเรียบเรียงมาให้อ่านได้ง่ายและได้รับความรู้ โดยใช้วิธีการเล่าเรื่องจากความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งทำให้อ่านแล้วก็พอจะเห็นภาพเรื่องที่กำลังอธิบายได้อย่างไม่ยากทำให้อ่านแล้วรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสมองไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอย่างที่คิด และนอกจากจะอธิบายเรื่องกลไกการทำงานของสมองแล้วผู้เขียนยังนำมาเชื่อมโยงให้กับการใช้ความจำ ซึ่งเป็นส่วนที่จำเป็นมากของการเรียน และอธิบายวิธีการทำอย่างไรให้ตัวผู้เรียนนั้นรู้สึกสนุกไปกับการเรียนที่จะยากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยผู้เขียนได้อธิบายว่าสมองของคนเราจะหลั่งสารโดพามีนออกมาเมื่อประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และจะเกิดความสุขกับตัวผู้ที่ประสบความสำเร็จเอง ดังนั้นจึงต้องฝึกฟันฝ่าอุปสรรคให้เป็นนิสัย และเมื่อสำเร็จแล้วสมองจะทำให้ผู้เรียนเริ่มสนุกกับการพิชิตบทเรียนที่ยากขึ้นและมากขึ้น และนอกจากนี้ก็จะมีทริคการเรียนต่างๆ ที่หลายๆ คนอาจจะทราบและถูกบังคับให้ทำมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เราอาจจะไม่รู้ที่มาว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกับการเรียนได้อย่างไร ก็จะถูกนำมาอธิบายด้วยเช่นกัน เช่นการกดดันด้วยเวลา แต่ผู้เขียนก็ได้บอกว่าการกดดันด้วยเวลานั้นควรจะให้ผู้เรียนรู้สึกว่าควรต้องกดดันตัวเอง ไม่ใช่จากผู้อื่นแต่เพียงอย่างเดียว หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะส่งผลด้านลบมากกว่า (ซึ่งผู้รีวิวเองจะเจอกับด้านลบเสียมากกว่า) การสร้างสมาธิและเริ่มต้นเรียนแบบไม่ผัดวันประกันพรุ่ง การทำให้ระยะห่างระหว่างตนเองกับการเรียนเป็นเรื่องที่ใกล้กันมากขึ้น การสร้างวงจร (เรื่องการเรียน) ในสมองให้ได้ โดยจะทำให้ร่างกายตอบสนองกับสมองได้อย่างอัตโนมัติ การใช้ประสาทสัมผัสหลายด้านๆ กับการเรียน ซึ่งผู้เขียนเองก็ยังสอดแทรกวิธีการคิดให้กำลังใจผู้อ่านอีกมากมายด้วย เพื่อทำให้การเรียนไม่เคร่งเครียดจนเกินไป โดยผู้เขียนก็กล่าวว่าในส่วนนี้อาจจะเป็นส่วนที่ยาก เนื่องจากเป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ แต่ก็ไม่ได้ทำยากจนเกินความสามารถแน่นอน และผู้เขียนก็ยังบอกอีกว่าการอ่านนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการเรียน และการอ่านไม่ได้เป็นสิ่งที่จำกัดอยู่แค่ในคนที่มีการศึกษาเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาแบบในโรงเรียนหรือวิทยาลัย ก็ยังสามารถเรียนรู้ได้โดยเริ่มจากการอ่าน ซึ่งเมื่ออ่านจบแล้วก็รู้สึกสนุก ให้ความรู้และเคล็ดลับมากมาย ทั้งยังให้กำลังใจผู้อ่านอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับกลุ่มคนทุกกลุ่ม ทุกวัย
www.batorastore.com © 2024